Showing posts with label ชีวิตสมัยหลังของโคลด โมเนท์ ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่. Show all posts
Showing posts with label ชีวิตสมัยหลังของโคลด โมเนท์ ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่. Show all posts

Monday, January 4, 2010

ชีวิตสมัยหลังของโคลด โมเนท์ ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่


ชีวิตสมัยหลังของโคลด โมเนท์ ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่
หลังจากโมเนท์โศรกเศร้ากับการตายของคามิลล์อยู่หลายเดือนโมเนท์ก็สัญญากับตนเองว่าจะไม่ยอมเป็นทาสความยากไร้อีก โดยเริ่มเขียนภาพจริงๆ จังๆ และสร้างงานที่ดึที่สุดของตนเองของสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อต้นคริสต์ทศศตวรรษ 1880 โมเนท์ก็วาดภาพภูมิทัศน์ของชนบทฝรั่งเศสด้วยความตั้งใจที่จะทำเป็นหลักฐานของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งทำให้เกิดการวาดภาพเป็นชุดหลายชุดที่เกี่ยวกับภูมิทัศน์ของชนบทฝรั่งเศส

เมื่อปีค.ศ. 1878 โมเนท์และคามิลล์ย้ายไปอยู่ที่บ้านของเอิร์นเนส โอเชด (Ernest Hoschedé) เป็นการชั่วคราว โอเชดเป็นเจ้าของร้านสรรพสินค้าผู้มีฐานะและเป็นผู้อุปถัมป์ศิลปิน สองครอบครัวนี้ก็อยู่ด้วยกันที่เวทุย (Vétheuil) ระหว่างหน้าร้อน หลังจากที่เอิร์นเนสล้มละลายและย้ายไปประเทศเบลเยียมเมื่อปีค.ศ. 1878 และหลังจากที่คามิลล์เสียชีวิตเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1879 โมเนท์ก็ยังคงอาศัยอยู่ที่เวทุย โดยมีอลิซ ภรรยาของเอิร์นเนส โอเชดก็ช่วยโมเนท์ดูแลบุตรชายสองคน อลิซนำลูกของโมเนท์ไปเลี้ยงร่วมกับลูกของอลิซเองอีก 6 คนที่ปารีสอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะย้ายกลับมาเวทุยพร้อมกับลูกๆ อีกครั้งเมื่อปีค.ศ. 1880 ในปีค.ศ. 1881 ทั้งสองครอบครัวก็ย้ายไปปอยซี (Poissy) ซึ่งเป็นที่ที่โมเนท์ไม่ชอบ จากหน้าต่างรถไฟระหว่างแวร์นองและกาสนีโมเนท์ก็พบจิแวร์นีย์ (Giverny) ในนอร์มังดี ในเดือนเมษายนปีค.ศ. 1883 โมเนท์ก็ย้ายไปแวร์นองและต่อมาจิแวร์นีย์ ซึ่งเป็นที่ที่โมเนท์ทำสวนขนาดใหญ่และเป็นที่ที่โมเนท์เขียนภาพตลอดในบั้นปลายของชีวิต หลังจากเอิร์นเนสเสียชีวิต อลิซก็แต่งงานกับโมเนท์เมื่อปีค.ศ. 1892

บ้านและสวนที่จิแวร์นีย์-โคลด โมเนท์
จิแวร์นีย์
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1883 โมเนท์ก็เช่าที่ดินสองเอเคอร์ที่จิแวร์นีย์จากเจ้าของที่ดินบริเวณนั้น ตัวบ้านตั้งอยู่ใกล้ถนนสายหลักระหว่างแวร์นองกับกาสนี ตัวบ้านมีโรงนาที่โมเนท์ใช้เป็นห้องสำหรับเขียนภาพ ภูมิทัศน์บริเวณนั้นก็เหมาะกับการเขียนภาพของโมเนท์ นอกจากนั้นครอบครัวก็ยังช่วยกันทำสวนดอกไม้ใหญ่ ฐานะของโมเนท์ก็เริ่มดีขึ้นเมื่อมีพอล ดูรานด์ รูลเป็นนายหน้าขายภาพเขียนให้ ในปี ค.ศ. 1890 โมเนท์ก็มีฐานะดีพอที่จะซื้อบ้าน สิ่งก่อสร้างในบริเวณนั้น และที่ดินเป็นของตนเอง ต่อมาโมเนท์ก็สร้างห้องเขียนภาพอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่กว่าเดิมและเป็นเพดานที่มีแสงส่องเข้ามาได้ ตั้งแต่คริสต์ทศศตวรรษ 1880 จนกระทั่งโมเนท์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1926 โมเนท์เขียนภาพหลายชุดสำหรับการแสดงภาพเขียน ซึ่งแต่ละชุดโมเนท์ก็จะวาดตัวแบบเดียวกันแต่จากมุมต่างๆกันและต่างเวลากันตามแต่แสงและภาวะอากาศจะเปลี่ยนแสงสีของสิ่งที่วาด เช่นภาพชุดกองฟางที่เขียนระหว่างปี ค.ศ. 1890-1891 ซึ่งเขียนจากหลายมุมและต่างฤดูและต่างเวลากันในแต่ละวัน ภาพเขียนชุดอื่นๆ ที่โมเนท์ก็ได้แก่ ชุดมหาวิหารรูออง, ชุดต้นพอพพลา, ชุดตึกรัฐสภาอังกฤษ, ชุดยามเช้าบนฝั่งแม่น้ำเซน, และชุดดอกบัวซึ่งโมเนท์เขียนที่จิแวร์นีย์

บางครั้งโมเนท์ยังชอบเขียนภาพธรรมชาติที่ตกแต่งแล้วเช่นภายในสวนที่โมเนท์จัดตกแต่งเองที่บ้านจิแวร์นีย์ ซึ่งเป็นสวนที่มีสระน้ำ, สะพานเล็กๆ ข้ามสระ, ต้นวิลโลร้องไห้, และดอกบัว ซึ่งสวนจริงยังมีให้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ นอกจากนั้นก็ยังเดินขึ้นล่องริมฝั่งแม่น้ำเซนเพื่อเขียนรูป ระหว่างปี ค.ศ. 1883 ถึงปี ค.ศ. 1908 โมเนท์เดินทางไปเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งโมเนท์เขียนภาพสิ่งที่น่าสนใจ, ภูมิทัศน์ และ ทะเลทัศน์ เมื่อไปเวนิสโมเนท์ก็เขียนภาพชุดเวนิส และลอนดอนเป็นชุดตึกรัฐสภาอังกฤษ และสะพานชาริงครอส

อลิซและลูกชายคนโตของโมเนท์ผู้แต่งงานกับแบลนช์ ลูกสาวคนโตของอลิซเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1911 หลังจากนั้นแบลนช์ก็ดูแลโมเนท์ ระหว่างนี้โมเนท์ก็เริ่มเป็นต้อ

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งลูกชายคนที่สองเป็นทหารและจอร์จ เคลมองโซ (Georges Clemenceau) ผู้เป็นเพื่อนและผู้นำฝรั่งเศส โมเนท์เขียนภาพชุด “วิลโลร้องไห้” (Weeping Willow) เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวฝรั่งเศสผู้เสียชีวิตในสงคราม โมเนท์ได้รับการผ่าตัดต้อสองครั้งในปี ค.ศ. 1923 ต้อของโมเนท์มีผลต่อสีของภาพเขียนๆ ระหว่างที่เป็นต้อจะออกโทนแดงซึ่งเป็นลักษณะของผู้เป็นต้อ นอกจากนั้นโมเนท์ยังสามารถมองเห็นคลื่นแสงอัลตราไวโอเล็ทที่ตาปกติจะมองไม่เห็นซึ่งอาจจะทำให้มีผลต่อการเห็นสีของโมเนท์ หลังจากผ่าตัดแล้วโมเนท์ก็พยายามทาสีบางภาพใหม่ เช่นภาพชุดดอกบัวที่เป็นสีน้ำเงินกว่าเมื่อก่อนได้รับการผ่าตัด

โมเนท์เสียชีวิตจากโรคมะเร็งที่ปอดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1926 เมื่ออายุ 86 ปี ร่างของโมเนท์ถูกฝังไว้ที่วัดที่จิแวร์นีย์ โมเนท์ขอให้เป็นพิธีง่ายๆ ฉะนั้นจึงมีผู้ร่วมงานศพเพียง 50 คน

เมื่อปี ค.ศ. 1966 ลูกหลานของโมเนท์ก็ยกบ้าน สวนและบึงบัวให้กับสถาบันศิลปะแห่งฝรั่งเศส (Academy of Fine Arts) ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 นอกจากสิ่งของของโมเนท์แล้ว ภายในบ้านยังเป็นภาพพิมพ์แกะไม้ของญี่ปุ่น (Japanese woodcut prints) ที่โมเนท์สะสมด้วย

ที่มา:จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี